วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ตำนานๆ 009016 : ครอบครัวเทวดา


ฟังเสียงพร้อมเพลงประกอบ : 

http://www.4shared.com/mp3/WQpBfWFK/The_Royal_Legend_016_.html

หรือที่ : 
http://www.mediafire.com/?3tydnd62r3cbqtb



ตำนานๆ 009016 : ครอบครัวเทวดา


กล่าวได้ว่าพระโอรสและพระธิดาของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ล้วนแล้วแต่เป็นตัวปัญหาและสร้างความวุ่นวายได้สารพัด ให้ต้องปวดพระเศียรเวียนพระเกล้าได้ไม่ว่างเว้น ไม่ได้สมดั่งพระราชหฤทัย เอาดีไม่ได้ แถมตกเป็นข่าวให้ต้องอับอายขายพระพักต์ของพระราชบิดาและพระราชมารดาเป็นที่ยิ่ง




ฟ้าหญิงอุบลรัตน์พระราชธิดาองค์โต ทรงรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเลี้ยงลูกสามคนที่แคลิฟอร์เนียใต้












และ
ถวิลหาการกลับสู่ฐานันดรในฐานะเจ้าหญิงพระองค์ใหญ่ที่เพริดแพร้วในราชตระกูล






ตลอดจนการหาแหล่งเงินทุนที่จะที่จะสานฝันให้คุณพลอยไพลินพระธิดาได้ก้าวเป็นนักเปียโนคอนเสิร์ตระดับโลก







ฟ้าหญิงอุบลรัตน์เสด็จกลับประเทศไทยบ่อยครั้งขึ้น
ในต้นทศวรรษ 2530 เพื่อออกงานเป็นเกียรติ ตามงานเลี้ยงต่างๆในวงชนชั้นสูง และติดตามพระราชินีไปในงานบอลล์หรืองานเต้นรำการกุศล




แม้ว่าโดยทางการแล้วทรงเป็นเพียงท่านผู้หญิง แต่ในภาษาอังกฤษจะเรียกพระองค์ว่าเจ้าหญิง และผู้คนก็ปฏิบัติต่อพระองค์เช่นนั้น



พระราชินีสิริกิติ์ทรงช่วยฟ้าหญิงอุบลรัตน์ ด้วยการโปรดให้เริ่มงานการกุศลในพระนามของฟ้าหญิงเอง โดยมีงานเลี้ยงระดมทุนในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระราชินีในปี 2535

มูลนิธิอุบลรัตน์ซึ่งมีศูนย์อยู่ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียใหม่ โดยสร้างโรงเรียนเจ้าฟ้าอุบลรัตน์ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเยาวชนในชนบทที่ด้อยโอกาสทางการศึกษา

ในปีแรกมีรายงานว่าได้เงิน 5 ล้านบาท ปีถัดมาได้ 20 ล้านบาท โดยผู้บริจาครายใหญ่ คือปตท.กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และองค์พระราชินีสิริกิติ์เอง


มูลนิธิดังกล่าวมีหน้าที่สร้างภาพลักษณ์ให้ฟ้าหญิงอุบลรัตน์ทรงเป็นพระราชวงศ์ที่ทรง
บำเพ็ญสาธารณประโยชน์อีกพระองค์หนึ่ง แต่ผู้รับทุนคนแรกของมูลนิธิก็คือ คุณพลอยไพลิน ซึ่งแสดงฝีมือเปียโนในงานเลี้ยงปี 2536 ข่าวนี้สร้างความเสื่อมเสียแก่พระราชวงศ์เพราะเล่นแจกรางวัลแก่พวกพระราชวงศ์ด้วยกัน

มูลนิธิจึงรีบประกาศมอบเงิน 3 ล้านบาทแก่โครงการที่ขาดแคลนจริงๆ ในนามของคุณพลอยไพลิน ฟ้าหญิงอุบลรัตน์ และพระสวามีของพระองค์ คือนายปีเตอร์ เจนเซ่น (Peter Ladd Jensen)


คุณพลอยไพลินเป็นนักเปียโนฝีมือดี และเป็นนักร้องที่มีความสามารถ แต่ว่ายังห่างชั้นจากระดับโลกอยู่มาก


ฟ้าหญิงอุบลรัตน์ก็ยังทรงทำเทปออกมาชุดหนึ่งโดยพระองค์กับคุณพลอยไพลินช่วยกันร้องเพลงเพื่อปูทางให้คุณพลอยไพลิน ส่วนใหญ่เป็นเพลงฮิตของฝรั่งที่ฟ้าหญิงอุบลรัตน์



ทุ่มเงินจ้างวง ออเคสตร้ากรุงเทพ ปร๊าก แมดริด ร็อทเทอดัม เวียนนา โอซาก้าให้คุณพลอยไพลินร่วมแสดง



เงินสนับสนุนมาจากรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ งานการกุศลของครอบครัวและนักธุรกิจไทย ขณะที่นักดนตรีไทยฝีมือระดับทัดเทียมกันไม่เคยได้รับการสนับสนุนอย่างนี้ และคุณพลอยไพลินก็ไม่ได้ถือสัญชาติไทย แต่เป็นเพราะเธอมีเลือดของพระราชวงศ์จักรีเท่านั้น




ฟ้าหญิงอุบลรัตน์พยายามแสดงพระองค์ให้อยู่ในเป้าสายตาของสาธารณชน โดยที่ยังทรงดูพระศิริโฉมงดงามแม้ในวัย 40 ชันษาแล้วก็ตาม









ในปี 2534
ทรงถ่ายแบบเป็นเกียรติแก่นิตยสารไทยหลายฉบับ มีชุดแฟชั่นฝรั่งเศส งานสังคมและการถ่ายแบบเฉพาะ ในเดือนกันยายน 2537 ทรงเป็นเรื่องเด่นถึง 36 หน้า






มีภาพถ่ายแบบของฟ้าหญิงอุบลรัตน์ในชุดที่ดูหวาบหวาม ในท่วงท่าเย้ายวนปลุกอารมณ์ของ เทอรี่มักเกล้อร์ Thierry Mugler ที่โรงแรมริทซ์ในปารีส มีรูปหนึ่งทรงสวมบทเป็นนางทางโทรศัพท์รอลูกค้าในกางเกงรัดรูป รองเท้าบู๊ทหนังสูงถึงขาอ่อน เเละเสื้อโปร่งทับบราดันทรงสีดำ




ที่โจ่งแจ้งไม่แพ้กันคือภาพเบื้องหลังการถ่ายทำ ที่เผยให้เห็นทีมงานของนิตยสารกำลังหมอบแทบพระบาทและคลานไปใส่รองพระบาท
เสมือนว่าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ยังทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเต็มขั้น สาธารณชนพากันวิพากษณ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา





บางคนว่าทรงเป็นเจ้าหญิงของแท้ที่กำลังจะฟื้นกลับมา แต่ก็ยังคงถูกวิจารณ์เรื่องความตะกละตะกลามอย่างน่าเกลียด ในปี 2539 ฟ้าหญิงอุบลรัตน์กับพระราชวงศ์ได้พยายามอย่างหนักที่จะทรงเข้าร่วมงานพระราชพิธีใหญ่สองงาน และหวังจะได้สถานะเดิมกลับคืนมา แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงดื้อด้านปฏิเสธเช่นเดิม



นายปีเตอร์ เจนเส่นได้หย่าขาดฟ้าหญิงอุบลรัตน์อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2541 และได้แต่งงานใหม่ ต่อมาฟ้าหญิงอุบลรัตน์ก็เป็นประธานโครงการทูบีนัมเบอร์วัน เพื่อรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยเน้นกลุ่มเยาวชน แต่มีข่าวลือว่าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ทรงโปรดปรานเยาวชนหนุ่มๆหน้าตาดี และพระองค์ก็ทรงมีฐานะมั่งคังนับพันล้านบาทจากการใช้สถานะของพระราชวงศ์

ส่วนฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ก็สร้างปัญหาอีกแบบ ในฐานะที่ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์แห่งพระราชวงศ์อย่างเป็นทางการ


ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้ทรงเปิดนิทรรศการและนำเสนอผลงานตามการประชุมต่างๆ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ของพระองค์ได้ให้การสนับสนุนการวิจัยและการจัดประชุมสัมมนา โดยใช้เงินบริจาคจากบริษัท งบประมาณรัฐบาลและเงินจากต่างประเทศ


คนไทยทั่วไปถือว่าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก แต่พระองค์ก็ไม่ได้พอพระทัยในบทบาทนี้และทรงเรียกร้องสิ่งอื่นๆ เช่น เพื่อนและคนรัก ทรงต้องการความรักและความนับถือ

แต่ไม่ได้ทรงพระศิริโฉมงดงามเหมือนฟ้าหญิงอุบลรัตน์ หากทรงเย่อหยิ่งและเอาแต่พระทัย และขาดความสง่างามอย่างที่พระราชบิดาและพระราชมารดาทรงใช้มัดใจพสกนิกร


แต่ทรงกลับเรียกร้องการปรนนิบัติระดับที่ดีที่สุดอยู่ตลอดเวลาในทุกๆที่ ทรงมีรสนิยมการแต่งพระวรกายและเครื่องประดับที่หวือหวาและมีข่าวลือว่าบางทีไปฉลองพระองค์ด้วยเครื่องเพชรที่ถูกขโมยมา มีข่าวว่า บางครั้งฟ้าหญิงทรงสั่งจ่ายเช็คในนามของมูลนิธิจุฬาภรณ์เพื่อซื้อเครื่องเพชร โดยร้านขายเพชรได้นำสำเนาเช็คไปใส่กรอบอวดไว้ในร้านจนเป็นที่ฮือฮาถึงความไม่เข้าท่าของพระองค์

มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับสุขภาพของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เธอมีโรคประจำตัวว่ากันว่าเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง คือโรคเอส แอล อี หรือโรคลูปัส ( ซึ่งเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายไปกระตุ้นเนื้อเยื่อให้เกิดการอักเสบ เป็นแบบเรื้อรังและเกิดขึ้นในอวัยวะต่างๆ ได้หลายอวัยวะ ได้แก่ ข้อ ผิวหนัง ไต เป็นโรคที่ทำให้นักร้องลูกทุ่งหญิงพุ่มพวง ดวงจันทร์เสียชีวิต )

ประกอบกับพระวรกายที่ผอมบางทำให้บางคนเชื่อว่าพระองค์เป็นโรคเบื่ออาหาร Anorexia



ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ไม่มีความสุขหรือเบื่อหน่ายพระสวามี คือนาวาอากาศเอก วีระยุทธ ดิษยะศรินบุตรของ พลอากาศเอกประหยัด ดิษยะศริน อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทการบินไทย


ที่มีหน้าที่หลักคือคอยติดตามและรับใช้พระองค์ ในปี 2537 ทรงจัดการให้น.อ.วีระยุทธไปประจำสถานทูตไทยที่วอชิงตันดีซี ในตำแหน่งผู้ช่วยทูตด้านการทหาร เพื่อทรงหลีกหนีจากความจำเจในวัง


เรื่องก็ได้รับการคัดค้านจาก กระทรวงกลาโหม ที่มักจะเก็บตำแหน่งนี้ไว้
สำหรับทหารดาวรุ่งเท่านั้น และกระทรวงต่างประเทศที่ไม่มีงบประมาณสำหรับที่พักอาศัยในระดับของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ แต่ก็ทรงได้ดั่งใจ

หลังจากทรงย้ายไปแล้ว ก็มีข่าวหลั่งไหลเข้ามาที่กรุงเทพฯ ว่าทรงมีปัญหาในชีวิตสมรสอย่างหนัก (ลือกันว่าถูกพระสวามีจับได้ว่ามีชู้)



และราวปลายปี 2537 มีการทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน ทำให้ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์กล่าวหาวีระยุทธว่าได้ทุบตีพระองค์ และได้เสด็จกลับมากรุงเทพฯพระองค์เดียวโดยมิได้เสด็จออกงานหลายเดือน

ช่วงนั้นฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ไปสงบใจนั่งสมาธิที่วัดป่าบ้านตาด ชัยภูมิของหลวงตาบัว มีข่าวลือแพร่ไปทั่วว่าทรงสิ้นพระชนม์ แต่เมื่อทรงปรากฏพระองค์อีกครั้งในเดือนเมษายน ( ข่าวว่าจุฬาภรณ์ไปฟ้องฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ว่าถูกวีระยุทธทุบตี )



ในที่สุด ก็ทรงได้แยกทางกับวีระยุทธเป็นที่ชัดเจน ต่อมาวีระยุทธ ก็ต้องไปบวชที่วัดบวรอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง








มีรายงานว่า
พระธิดาทั้งสองของฟ้าหญิง คือสิริภาจุฑาภรณ์ และอทิตยาทรกิติคุณ เลือกที่จะอยู่กับพ่อ



ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ได้หันไปสนใจศัลยแพทย์หัวใจคนหนึ่งเป็นแพทย์ประจำพระองค์ ซึ่งแต่งงานแล้วและมีหน้าตาคล้ายน.อ.วีระยุทธ แต่แพทย์คนนี้หลบเลี่ยงไม่เล่นด้วย ทำให้ทรงต้องตรอมพระทัยเข้าไปอีก


แต่ทั้งหมดนี้เทียบไม่ได้เลยกับ
ปัญหาของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ซึ่งทำท่าจะทำตัวดีขี้นในฐานะว่าที่พระมหากษัตริย์


การที่
หม่อมสุจาริณีได้รับการยอมรับอย่างไม่เป็นทางการในวัง ในปี 2534 ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ( 28 กรกฎาคม ) ครบ 39 ชันษาของพระองค์ น่าจะทำให้ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงมีความประพฤติที่ดีขึ้น


ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงเชิญสื่อมวลชนไทยมาที่
วังเมืองนนท์ โดยมีหม่อมสุจาริณีคอยต้อนรับทักทายนักข่าวในฐานะภรรยาของเจ้าเต็มขั้น โดยบอกว่า “ ฟ้าชายทรงต้องการให้งานนี้ไม่เป็นทางการมากที่สุด คือให้เป็นกันเอง ไม่มีอะไรซีเรียส คือว่า ข่าวลือไม่ค่อยดีมีมาอยู่เรื่อยๆ





อาจเป็นเพราะว่า
สื่อไม่เคยได้มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับฟ้าชายวชิราลงกรณ์อย่างเป็นการส่วนตัว เราจึงคิดว่านี่น่าจะเป็นโอกาสอันดีสำหรับพวกเราทุกคน




การนำเสนออย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยนี้ทำให้ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ และหม่อมสุจาริณีได้คะแนนนิยมอย่างมากจากวังและสาธารณชนทั่วไป






พร้อมกับการ
ลดฐานะของพระชายาโสมสวลีจาก พระวรชายา (ภรรยา) มาเป็น พระวรราชาธินัดดามาตุ (แม่ของหลานคนแรกของราชา)








ทำให้เห็นชัดว่า
ลูกชายทั้งสี่คนของหม่อมสุจาริณี คือผู้สืบทอดรุ่นต่อไปของพระราชวงศ์จักรี





ในปี 2535 ฟ้าชายวชิรา ลงกรณ์ทรงหมั่น ปฏิบัติ พระ กรณี ยกิจแทนพระเจ้าอยู่หัวในงานพระราชพิธีต่างๆ ทั้งของรัฐและศาสนา เช่นการเสด็จเยือนประเทศอินเดียเพื่อสักการะสถานที่สำคัญๆ ทางพุทธศาสนา

ขณะเดียวกัน ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ก็เอาพระทัยพระชนนีสิริกิติ์ ด้วยการพาเสด็จร้านอาหารและไนท์คลับหรูในกรุงเทพฯ




และให้พระโอรสบวชที่วัดบวรนิเวศ ก่อนถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระราชินี



ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ร่วมกับกองทัพสร้างตำหนักไม้สักสิริยาลัย ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่อยุธยาถวายพระชนนีสิริกิติ์ในโอกาสพระชนมายุครบห้ารอบ

ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ยังเป็นประธาน พิธีปลุกเสกรอยพุทธบาททองคำ ที่สร้างถวายพระราชชนนี
กรกฎาคม 2535 ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงพบสื่อมวลชนอีกครั้งหนึ่ง ก่อนถึงวันพระราชสมภพของพระองค์ แต่คราวนี้ไม่ปรากฏตัวหม่อมสุจาริณีและลูกๆของเธอ พระองค์ก็ทรงตรัสถึงพวกเขาโดยไม่ทรงเอ่ยถึงพระองค์เจ้าโสมสวลีกับพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระธิดา

มีพระดำรัสใคร่ครวญเรื่องชีวิต และบุญกรรมของพระองค์เป็นการสำแดงความลึกซึ้งแห่งปรีชาญาณของพระธรรมราชาที่กำลังแตกยอดขึ้นมา ทรงตรัสว่า“ ไม่มีใครมีชีวิตที่ราบลื่นอยู่ตลอด เวลา แต่ที่สำคัญต้องระลึกว่าไม่มีวันสายเกินไปที่จะทำในสิ่งที่ดีๆ ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเริ่มทำงานหรือแสวงหาความรับผิดชอบ มีพุทธพจน์ว่าไม่มีกรรมใดที่จะสำคัญไปกว่าปัจจุบันกรรม ” เป็นนัยว่าพระองค์คงตั้งพระทัยที่จะกลับเนื้อกลับตัวเลิกการกระทำชั่วๆ เสียที

ทรงตรัสว่า “ ใครที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็ยังสามารถแก้ไขปัญหาได้ ไม่มีคำว่าสายเกินไป หากรู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวได้แล้ว ชีวิตที่เหลือของพวกเขาก็จะมีความหวังและทำประโยชน์ได้

ฟ้าชายวชิราลงกรณ์กำลังบอกว่า ในวัย 40 ชันษาของพระองค์ จะมิได้เป็นหนุ่มเลือดร้อนอีกต่อไปแล้ว และได้ตั้งพระทัยที่จะทำความดีในอนาคต แต่ก็ไม่ได้ช่วยปัดเป่ากิตติศัพท์ความฉาวชั่วของพระองค์ให้หาย ไปโดยสิ้นเชิง พอสิ้นปี 2535


ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ก็ทรงออกมาแก้ต่างให้พระองค์เอง ในการพระราชทานสัมภาษณ์แก่นักข่าวไทยอีกรอบหนึ่ง หลังจากทรงสนทนาทั่วไปเกี่ยวกับพระราชภารกิจของพระองค์แล้ว นักข่าวไทยรัฐที่เป็นหนังสือพิมพ์ใหญ่ที่สุดของประเทศ ที่เจ้าของมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฟ้าชาย ก็ถามคำถามที่เห็นได้ชัดว่ามีการเตรียมกันมาก่อน

โดยกราบบังคมทูลถามว่าทรงมีธุรกิจส่วนพระองค์หรือไม่ ซึ่งฟ้าชายทรงตอบว่า “ เรารอคำถามนี้มานานแล้ว... มันเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดมากสำหรับเรา.. เพราะบางทีบางคนพูดมากเกินไปว่าเรามีธุรกิจพวกผับ บาร์ ดิสโกเธค อะไรก็ตามแต่ นี่เป็นของเสี่ยโอ นั่นเป็นของเสี่ยโอ และโน่นเป็นของเสี่ยโอ...เสี่ยโอเป็นเจ้าพ่อบริษัททรัสต์ บริษัทไฟแนนซ์ แชร์... เป็นเสี่ยพันล้าน


ทรงรับสั่งว่า “ ตรงกันข้าม
พระราชบิดาและพระราชมารดาไม่เคยได้ทรงสั่งสอนอะไรแก่ข้าพเจ้าเลย นอกจากการรับใช้ประเทศชาติ ...เราไม่มีประสบการณ์ในเรื่องพรรค์นี้เลย ถ้าเราทำจริง ธุรกิจก็คงเจ๊งเป็นล้านๆ อาจเจ๊งหมดเลย..





เราไม่เคยศึกษาการบริหารจัดการธุรกิจ มีแต่ว่าจะทำอะไรที่จะสร้างความดีแก่ชาติบ้านเมือง และไม่ทำอะไรที่จะก่อผลเสียแก่ประเทศชาติ หรือละเมิดกฎหมาย หรือผิดศีลธรรม... หรืออะไรที่จะเป็นผลเสียแก่คุณภาพและอนาคตของเยาวชน ” อันหลังนี้ทรงหมายถึงเรื่องไนท์คลับ ที่ทรงถูกหาว่าเป็นเจ้าของ โดยอนุญาตให้เยาวชนเข้าและเปิดเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด

ทรงปฏิเสธเรื่องนั้น และยังทรงปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังหวยล็อค เมื่อสองสามปีก่อนหน้านั้นซึ่งมีข่าวว่าแม่นมากขนาดเจ้ามือไม่กล้ารับแทงพนัน และหากทรงกระทำจริงก็คงรวยไปแล้วในตอนนี้


ทรงย้ำว่า“ ขอบอกว่าเป็นเรื่องไม่จริงทั้งหมด
ใครก็ตามที่ทำผิดควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ และใครที่ใช้ชื่อของเรา หรืออ้างว่ามีเราคุ้มครอง หรือบอกว่าเราเกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ของพวกเขา ก็ให้แจ้งความ ตั้งข้อหา... ต่อให้เป็นลูกน้องของเราก็ไม่เว้น


ทรงเน้นว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานเงินแก่พระองค์มากพอสำหรับใช้ตามความจำเป็น “ เงินที่เราใช้จ่ายได้มาอย่างสุจริต เราไม่ต้องการแตะต้องเงินที่ได้มาโดยไม่สุจริตบนความทุกข์ร้อนของผู้อื่น

ทรงปฏิเสธอย่างแข็งขันโดยยึดมั่นในแนวคิดเรื่องความบริสุทธิ์ผุดผ่อง และความล่วงละเมิดมิได้อันติดตัวมาแต่กำเนิดของพระราชวงศ์จักรี โดยถือว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่พระองค์จะออกนอกลู่นอกทาง พระองค์มีแต่จะดำเนินตามรอยพระบาทพระชนกเท่านั้น

ขณะที่มีข่าวว่า ทรงออกรีดไถและเที่ยวซื้อของโดยไม่ยอมจ่ายเงิน จนเจ้าพ่อหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ( นายกำพล วัชรพล เจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ )ต้องอาสาออกรวบรวมเงินส่งส่วยให้พระองค์ ว่ากันว่าเดือนละสามสิบล้านบาทเพื่อจะได้ไม่ต้องทรงออกมาเพ่นพ่านสร้างความเดือดร้อนแก่พสกนิกร บางวงการเรียกชื่อเล่นของพระองค์ จ่าห้าว (คือ เจ้าห่า)

วันถัดมาหนังสือพิมพ์ทุกฉบับได้รายงานกระแสรับสั่งของฟ้าชายวชิราลงกรณ์เป็นข่าวพาดหัว ซึ่งได้ผลเพียงเล็กน้อย เพราะเท่ากับไปกวนความทรงจำเรื่องที่แย่ๆ ให้ขุ่นขึ้นมาและสร้างความสงสัยและข้อโต้แย้งขึ้นมาอีก แต่ต้องยกประโยชน์ให้จำเลย เพราะทรงเป็นว่าที่พระมหากษัตริย์ แต่พอวันถัดมาเรื่องนี้ก็หายไปจากสื่อโดยสิ้นเชิง

แต่ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ก็มิได้ทรงเปลี่ยนแปลงความประพฤติแต่อย่างใด ทรงรับเอาเงินจำนวนมากจากนักธุรกิจเพื่อแลกกับสัมปทานโครงการขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้าลอยฟ้าและโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่





ในแวดวงการทหารก็เป็นที่รู้กันว่า ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ได้ทำร้ายหรือทรงกระทืบนายทหารมาแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2520 ส่วนใหญ่เป็นทหารที่มีชื่อชั้นที่ไปทำให้พระองค์ไม่สบพระอารมณ์



ในเดือนมีนาคม 2536
ทรงสั่งปลดหัวหน้ากองรักษาความปลอดภัยที่เป็นพลตรีที่ได้รับการยอมรับอย่างสูง ทรงกระจายข่าวว่าพลตรีคนนี้ได้แอบอ้างพระนามของพระองค์ไปแสวงหาประโยชน์ แต่ไม่ค่อยมีคนเชื่อพระองค์ บรรดานายทหารระดับสูงของกองทัพหลายคนได้แสดงความไม่พอใจในเรื่องนี้ออกมาให้เป็นที่รู้กัน

ความเพียรพยายามของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ที่จะทรงปรับปรุงภาพลักษณ์ของพระองค์ก็ประสบผลพอสมควร โดยทรงได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระราชบิดาและพระราชมารดาในการฟ้องหย่าจากพระองค์เจ้าโสมสวลีในปลายปี 2535 ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการที่ฟ้าชายวชิราลงกรณ์จะได้อภิเษกสมรสกับหม่อมสุจาริณี หลังจากที่ฟ้าชายได้ทรงออกแรงพยายามในเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน

พระองค์เจ้าโสมสวลีทรงปฏิเสธไม่ยอมหย่ามาตลอดหลายปี โดยที่ฟ้าชายวชิรา ลงกรณ์ ก็ทรงไม่มีทั้งมูลเหตุทางกฎหมายและพระบรมราชานุญาตจากพระราชบิดา

มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหย่าของไทยในปี 2533 คงมีเหตุมาจากความพยายามช่วยฟ้าชายวชิราลงกรณ์ในการหย่าขาด โดยกฎหมายใหม่อนุญาตให้สามีและภรรยาที่แยกกันอยู่โดยสมัครใจเป็นเวลาสามปีขึ้นไป ให้ถือเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ เนื่องจากไม่สามารถอยู่กินร่วมกันได้

ลือกันว่าในเวลานั้นพระองค์เจ้าโสมสวลี ก็ยังคงปฏิเสธข้อเสนอเป็นเงินหลายสิบล้านบาทสำหรับการหย่า ด้วยการสนับสนุนจากพระมารดา (ท่านผู้หญิงพันธุ์สวลี กิติยากร ) และฝ่ายของวังส่วนหนึ่งที่มุ่งมั่นจะให้พระองค์เป็นพระราชินีให้ได้


พระองค์เจ้าโสมสวลีให้การต่อสู้ว่าพระองค์และฟ้าชายแยกกันอยู่ยังไม่ถึงสามปีนับแต่กฎหมายใหม่มีผลบังคับใช้ และไม่เคยมีการหย่าร้างอย่างเป็นทางการในพระราชวงศ์มาก่อน เพราะแม้แต่รัชกาลที่ห้าที่มีพระมเหสีมากมายหลายสิบพระองค์ ก็ยังทรงคุ้มครองฐานะของพระมเหสีที่เป็นทางการทุกพระองค์


ปี 2535 นายประมาณ ชันซื่อ ผู้พิพากษาระดับอาวุโสที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวถูกเรียกให้มาจัดการไกล่เกลี่ย เพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นโรงขึ้นศาลที่จะทำให้ต้องเป็นที่อับอายขายหน้าสาธารณชนประกอบกับใกล้ครบกำหนดสามปีที่ทรงแยกกันอยู่







พอได้จังหวะฟ้าชายวชิราลงกรณ์ก็ทรงฟ้องหย่าในศาลครอบครัวและเยาวชนจังหวัดนนทบุรีที่
ภรรยาของนายประมาณ ( นางอำพันศรี ชันซื่อ )เป็นผู้พิพากษาใหญ่ในเดือนมกราคม 2536




โดยใช้เรื่องโกหกที่แต่งขึ้นเองมาเป็นข้อกล่าวหาโสมสวลีอย่างไม่มีความเมตตาปราณี โทษว่าเป็นความผิดของโสมสวลีทั้งหมดที่ทำให้ความสัมพันธ์ล้มเหลว

ฟ้าชายทรงบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อแสดงว่าโสมสวลีสร้างความเสื่อมเสียแก่สถาบันกษัตริย์ ตั้งแต่การทะเลาะวิวาทไปจนถึงเรื่องเครื่องเพชรยืมมาและได้หายไป ระหว่างเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ในช่วงที่ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ประทับอยู่ในอเมริกาในปี 2523 ในเรื่องเกือบทั้งหมด รวมถึงเรื่องเครื่องเพชรที่หายไป ล้วนเป็นความผิดของฟ้าชายเอง ( เอกสาร # 79 / 2536 27 มกราคม 2536 ศาลครอบครัวและเยาวชนจังหวัดนนทบุรี )


การพิจารณาคดีดำเนินไปโดยลับ แต่เอกสารในการพิจารณาคดีถูกเผยแพร่ไปทั่วกรุงเทพ เมื่อถึงกำหนด
พระองค์เจ้าโสมสวลีต้องให้การ ก็ทรงให้การอะไรไม่ได้เลย ไม่สามารถให้การว่าฟ้าชายวชิราลงกรณ์โกหก แม้จะเป็นการให้การในศาล ก็เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โสมสวลีทำได้ดีที่สุดโดยการอ้างว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เห็นด้วยกับการหย่า

นายประมาณ ชันซื่อ นักกฎหมายผู้เชี่ยวชาญที่รับงานมาจัดการหย่าก็หักล้างด้วยการตัดสินว่ากฎหมายโบราณต้องให้กษัตริย์เซ็นรับรองการแต่งงานของพระราชวงศ์ แต่ไม่ได้ระบุอะไรเกี่ยวกับการหย่าร้าง หักล้างอย่างหน้าด้านๆ




งานนี้
โสมสวลีพ่ายแพ้อย่างราบคาบหมดสภาพ ถึงจะยื่นอุทธรณ์ก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะท่านผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ก็คือ นายประมาณ ชันซื่อ เจ้าเก่านั่นเอง







การหย่าเสร็จสิ้นในเดือนกรกฎาคม 2536 ลือกันว่าพระราชินีสิริกิติ์ต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โสมสวลีไปหลายสิบล้านบาท และโสมสวลีก็ยังคงประทับอยู่ในวัง ผู้สนับสนุนโสมสวลีแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวด้วยการจัดงานเลี้ยงสำหรับวันเกิดครบสามรอบของเธอในเดือนนั้น


ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงหล่อพระพุทธรูปและเจ้าแม่กวนอิมเพื่อไปตั้งแสดงในวัดบวรนิเวศ ผู้ทำพิธีเปิดผ้าคลุมรูปหล่อเหล่านี้ไม่ใช่ญาณสังวรที่ป็นเจ้าอาวาส แต่เป็น
หม่อมสุจาริณี ว่าที่พระมเหสีองค์ใหม่





พระเจ้าอยู่หัวทรงมีทีท่าสนับสนุน เห็นได้จากที่ฟ้าชายวชิราลงกรณ์กำหนดการอภิเษกสมรสกับหม่อมสุจาริณี ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2537 ในพระบรมมหาราชวัง


โดยตามประเพณีจะมีพิธีทางศาสนา พระสวดพระพุทธมนต์ ขณะที่พระเจ้าอยู่หัว พระราชชนนีและพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ก็จะประทานศีลอำนวยพร พร้อมด้วยการรดน้ำสังข์มงคลสมรสลงบนศีรษะของคู่บ่าวสาว


ดูท่าว่าพระราชินีสิริกิติ์คงจะทรงกระอักกระอ่วนกับเรื่องของโสมสวลีผู้เป็นหลานสาวอา พระราชินีสิริกิติ์จึงประทับอยู่ต่างจังหวัด การแต่งงานครั้งนี้มีลางดีเป็นมงคล คือมีฝนตกในฤดูแล้ง แต่ลือกันว่าเป็นฝนเทียมจากฝีมือของหน่วยฝนหลวงในพระราชดำริ


แม้จะไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ผู้คนก็ได้รับรู้กันว่าทั้งสองจะอภิเษกสมรสกัน หม่อมสุจาริณีไม่ได้รับฐานะใหม่แต่สามารถใช้นามสกุลของพระราชวงศ์ เป็นหม่อมสุจาริณี มหิดล ณ อยุธยา ได้รับยศทหารระดับพันตรี และมีโอกาสที่จะนั่งวินิจฉัยคดีในศาล ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ตามประเพณีการผดุงความยุติธรรมของเจ้า แต่เป็นแค่ศาลทหาร เพราะสถานภาพยังไม่ชัดเจน



กำหนดการแสดงตนอย่างเป็นทางการคือวันเฉลิมพระชนม์ครบ 42 ชันษาของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2537
สื่อได้ตีพิมพ์พระฉายาลักษณ์ของฟ้าชาย หม่อมสุจาริณีและลูกๆ ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลาและตักบาตร



ในการเลี้ยงอาหารมื้อเที่ยงแก่นักข่าว หม่อมสุจาริณีกับลูกๆได้รับการปฏิบัติในฐานะเจ้าเต็มขั้น คู่บ่าวสาวได้รับการถ่ายทอดว่าพูดจาอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง


โดยฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงประกาศว่า จะทรงเริ่มโครงการการกุศลเร็วๆนี้ และจะเสด็จสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับหลายประเทศ ทรงตั้งพระทัยจะช่วยสร้างศูนย์โรคหัวใจกว่าห้าร้อยล้านบาท ในพระนามของสมเด็จพระราชินี โดยใช้งบประมาณของรัฐบาล จากงานการกุศล จากสลากกินแบ่งชุดพิเศษ และทรงเสนอให้เก็บภาษีพิเศษจากน้ำมันรถยนต์ เปลี่ยนจากที่เคยใช้การบริจาคตามความสมัครใจในการสนับสนุนโครงการของพระเจ้าอยู่หัว

ทางฝั่งของโสมสวลีก็ตอบโต้ด้วยจดหมาย เป็นใบปลิวไม่ลงชื่อโจมตีฟ้าชายวชิราลงกรณ์ตลอดจนพระราชินีสิริกิติ์อย่างยืดยาว มีการเรียกฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ว่าเป็นคนบ้ากามและตีตราหม่อมสุจาริณีว่าเป็นโสเภณีที่ครอบงำด้วยคุณไสยทางเพศ ว่ากันว่ามีการใช้ขนลับทำพิธีโดยพระแถวฝั่งธนบุรี

และกล่าวหาว่าฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงสั่งอุ้มฆ่า และยักยอกเงินการกุศลไปใช้สร้างตำหนักถวายพระราชินีสิริกิติ์ที่อยุธยา และยังทรงร่วมมือกับนักธุรกิจแสวงหาผลประโยชน์ และตั้งคำถามว่า“ พวกเขาไม่ตระหนักหรืออย่างไรว่าจะเป็นราชากับราชินีไม่ได้ หากไม่ได้รับการเคารพและการสนับสนุนจากประชาชนไทย เราจะทำอะไรได้บ้าง ที่จะป้องกันไม่ให้ไอ้ทึ่มกับนังแพศยา ได้สถานะที่สูงส่งอย่างนั้น



ในส่วนที่เอ่ยถึงพระราชินีสิริกิติ์ที่ถูกเรียกในจดหมายว่า
ซูซี่หว่อง “ Suzie Wong หรือหญิงหากินในโรงแรม ” ก็ได้ถูกพาดพิงถึงว่า “ เพื่อนคนไทยที่รัก 12 สิงหา...ถูกเรียกทั่วไปว่าเป็นวันแม่ของคนไทยทั้งชาติ








แต่แค่ถามตัวเองดู ว่า
โสเภณีแก่ชั้นสูงคนนี้ คู่ควรที่จะได้รับการยกย่องให้เป็นแม่ของคนไทยทั้งชาติจริง ๆ หรือ... เธอแต่งตัวยังกับเป็นดารานักแสดงบนเวที... น่าอับอาย... นังปีศาจตนนี้ไม่มีหลักศีลธรรมโดยสิ้นเชิง




จดหมายใบปลิวฉบับนี้บอกว่าพฤติกรรมของพระราชินีสิริกิติ์ เป็นลักษณะประจำตระกูล โดยบอกว่ามรว.บุษบา น้องสาวของพระราชินีและ มรว.อดุลกิติ์ พี่ชายของพระราชินีต่างก็ได้ทอดทิ้งคู่ครองไปหาคนใหม่ “ จะเห็นได้ว่าพวกนี้ชั่วร้ายขนาดไหนทั้งพี่ทั้งน้อง... เราจะยังบริจาคเงินให้มันไปสูญเปล่ากับความเสเพลอย่างนี้อยู่อีกหรือ...

เราต้องต่อต้านโสเภณีแก่ชั้นสูงคนนี้ ขอให้หล่อนตกนรกหมกไหม้และลูกๆ ก็ไม่ได้ผุดได้เกิด ” จดหมายสรุปว่า “ ถ้าคุณเกิดมาเป็นคนไทย คุณจะต้องฝืนทนกับเรื่องนี้ต่อไป เราเป็นประเทศยากจน และจะจนต่อไป...


คำทำนายโบราณจะเป็นจริง คือ ตระกูลนี้จะมีกษัตริย์เก้าคนเท่านั้น ถ้ามีคนที่สิบ มันจะเป็นหายนะ โสมม เสื่อมถอยและชั่วร้าย...ขอเรียกร้องให้ประชาชนทุกคนรวมกันต่อต้าน ” ลงชื่อ “ พลเมืองไทย ” แต่คนเขียนคงไม่ใช่พลเมืองธรรมดารายละเอียดชี้กลับไปที่วัง และหลายคนเชื่อว่าคนเขียนจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากแม่ของโสมสวลี คือ....

ท่านผู้หญิงพันธุ์สวลี กิติยากร นามเดิม คือ หม่อมเจ้าหญิงพันธุ์สวลี ยุคล ลาออกจากฐานันดรศักดิ์ เพื่อสมรสกับหม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร พระเชษฐาของราชินีสิริกิติ์ เมื่อ 4 เมษายน 2499 มีธิดา 2 คน คือ หม่อมหลวงโสมสวลี กิติยากร (พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ) และหม่อมหลวงสราลี กิติยากร (สมรสกับ นายธีรเดช จิราธิวัฒน์)

ใบปลิวยังพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างวชิราลงกรณ์กับหม่อมสุจาริณีกำลังร้าวฉาน โดยบอกว่าหม่อมสุจาริณีได้หนีฟ้าชายไปในปลายปี 2536 เพราะฟ้าชายเอาผู้หญิงอีกคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในวังนนทบุรีด้วย หม่อมสุจาริณีร่วมแบ่งปันฟ้าชายผู้เป็นสามีกับผู้หญิงอื่นมานานแล้ว แต่ไม่มีใครย้ายเข้ามาในวังได้

พูดกันว่าหม่อมสุจาริณีบินไปอังกฤษพร้อมกับลูกห้าคน และขู่ว่าจะฆ่าลูกกับตัวเธอเองถ้าฟ้าชายวชิราลงกรณ์ไม่เอาผู้หญิงคนนั้นออกไป ใบปลิวนี้ต้องการโจมตีว่าหม่อมสุจาริณีไม่เหมาะสมกับตำแหน่งพระชายา เพราะได้หอบหลานของพระเจ้าอยู่หัวหนีไปเท่ากับเป็นคนเห็นแก่ตัวมากกว่าความสำคัญของพระราชวงศ์

เรื่องเหล่านี้ได้นำไปสู่ศึกชิงบารมีรอบใหม่ ระหว่างพระองค์เจ้าโสมสวลีกับหม่อมสุจาริณี โสมสวลีที่ไม่เคยสร้างภาพเป็นเจ้าขยันทำงานมาก่อน





จู่ๆ
โสมสวลีก็ทรงขยันออกงานสาธารณะพร้อมพระธิดา คือพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาและฟ้าหญิงสิรินธร ส่วนฟ้าชายวชิราลงกรณ์กับหม่อมสุจาริณีก็สู้กลับด้วยการออกงานพิธีสำคัญทั้งของรัฐบาลและการกุศลพร้อมลูกๆ




ฟ้าชายทรงพาครอบครัวเดินสายต่างจังหวัด เพื่อแสดงความแน่นแฟ้นกับชาวนาชาวไร่และประชาชนตามธรรมเนียมของเจ้า มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระโอรสทั้งสามองค์แรกได้โจนลงท้องนาในชุดดำนา ต่อหน้าข้าราชการระดับสูงนับสิบ ชาวบ้านหลายร้อยคนและกล้องโทรทัศน์ โดยย่ำโคลนเดินไถนาตามหลังควายแล้วหว่านกล้า หลายเดือนต่อมา พวกเขาได้กลับมาที่เดิมเพื่อร่วมเก็บเกี่ยว ความพยายามอย่างนี้ประสบผลสำเร็จพอสมควร

ฟ้าชายกับครอบครัวเริ่มปี 2538 อย่างมั่นอกมั่นใจ ทรงพระราชทานสัมภาษณ์ ว่าพระองค์กับหม่อมสุจาริณีจะทำงานร่วมกันในฐานะคู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายและจะช่วยเหลือประชาชนในลักษณะ พ่อและแม่ดูแลลูก



แต่แล้วสิ่งต่างๆ ก็ดูเหมือนจะไม่ดำเนินไปตามที่ฟ้าชายทรงคาดคิดไว้ มีข่าวลือสองเรื่องแพร่สะพัดไปเมื่อต้นปี 2538 บ่งบอกว่าอนาคตของฟ้าชายและหม่อมสุจาริณีคงต้องมืดมัว เรื่องแรกลือกันว่าหลวงพ่อคูณได้พูดกับฟ้าชายวชิราลงกรณ์ว่าพระองค์จะไม่ได้เป็นกษัตริย์ แต่ฟ้าหญิงสิรินธรจะได้เป็น ว่ากันว่าฟ้าชายโกรธมาก ทรงด่า หรือไม่ก็ทรงทำร้ายหลวงพ่อคูณ แล้วก็ทรงพระดำเนินจากไป

เรื่องที่สอง ลือว่าฟ้าชายวชิราลงกรณ์เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเพื่อขอโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์และหม่อมสุจาริณีได้เป็นว่าที่กษัตริย์และราชินี แต่ก่อนที่จะทันได้กราบบังคมทูลเสร็จ



ในหลวงชิงขัดจังหวะ และรับสั่งว่าจะพระราชทานอะไรก็ได้ ถ้าหากฟ้าชายทรงยอมทำอะไรอย่างหนึ่งถวายพระเจ้าอยู่หัวเสียก่อน คือ ต้องบวชเป็นพระตลอดพระชนมชีพ กล่าวคือในหลวงไล่ฟ้าชายให้ไปบวชจนตาย จะได้ไม่ต้องกลับมาทูลขออะไรอีก

ข่าวลือดูจะพอมีมูลเมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้ารักษาพระประชวรที่โรงพยาบาลศิริราช ในเดือนมีนาคม 2538 โดยที่ฟ้าชายเสด็จเยี่ยมเพียงครั้งเดียวในช่วงแรกๆ หลังจากนั้นก็ไม่เคยเสด็จเยี่ยมอีกเลย หม่อมสุจาริณีก็ไม่เคยไป แสดงอาการไม่พอใจพระเจ้าอยู่หัวด้วยกันทั้งคู่ แต่พระองค์เจ้าโสมสวลีเสด็จไปเยี่ยมเป็นปกติ ประชาชนทั้งประเทศได้สังเกตและตระหนักว่ามีอะไรบางอย่างไม่สู้ดี

มาเมื่อพระราชชนนีศรีสังวาลย์ประชวรต้องเสด็จเข้าโรงพยาบาลอีกรอบในเดือนมีนาคมและสิ้นพระชนม์ ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ถึงได้ทรงโผล่ออกมาอีกครั้ง แต่หม่อมสุจาริณีกับลูกๆ แทบไม่ปรากฏตัว เมื่อการไว้ทุกข์ดำเนินไปตลอดปี 2538 ที่เหลือ หม่อมสุจาริณีก็ไม่ค่อยได้ปรากฏตัวให้เห็นอีกแล้ว


ขณะที่
ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามปกติ ในระหว่างนั้นพระองค์เจ้าโสมสวลีก็ทั้งทรงออกงานและได้รับการยกย่อง เมื่อน้ำท่วมกรุงเทพฯ ในเดือนพฤศจิกายน ยังได้เสด็จประทานถุงยังชีพแก่ผู้ประสบภัย





ปัญหาในพระราชวงศ์เริ่มเข้มข้น ถึงจุดแตกหักในช่วงใกล้งานพระราชทานเพลิงพระศพ พระราชชนนีศรีสังวาลย์ และงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษกฉลองการครองราชย์ 50 ปี ในปี 2539 เป็นช่วงเวลาที่สื่อได้โหมการโฆษณายกย่องเทิดทูนพระมหากษัตริย์เต็มที่ ไม่มีใครคิดว่าจะมีอะไรที่จะทำให้เสียบรรยากาศการเฉลิมฉลองได้ ขณะที่กำลังมีข่าวการหย่าร้างอันครึกโครม ระหว่างเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์กับเจ้าหญิงไดอาน่าในช่วงนั้นทำให้พระราชวงศ์จักรีดูดีขึ้นมา

แต่แล้วก็มีข่าวลือ เรื่องว่าหม่อมสุจาริณีกับลูกๆถูกจับพร้อมยาเสพติดในโรงเรียนที่อังกฤษ หม่อมสุจาริณีที่ถือหนังสือเดินทางทางการทูตถูกจับที่สนามบินที่ลอนดอน ข้อหาลักลอบขนยาเสพติด ข่าวลือทำให้ชื่อเสียงของหม่อมสุจาริณีตกต่ำลงอย่างหนักและเธอก็หายหน้าไปเลย ในระหว่างที่มีข่าว เรื่องหม่อมสุจาริณีขนยาเสพติดนั้น ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ก็ยังคงวางพระองค์กร่างแบบนักเลงอย่างที่เคยเป็นมานาน เพื่อเตือนให้บรรดาชนชั้นนำด้วยกันได้เห็นว่าพระองค์ทรงมีพิษสงเพียงใด

ในช่วงวันที่ 1-2 มีนาคม 2539 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดครั้งแรกระหว่าง ผู้นำเอเชียและยุโรปหรืออาเซม (ASEM) อันเป็นการยกฐานะของประเทศไทย และพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงจัดงานรับรองใหญ่โตสำหรับประธานาธิบดีกับนายยกรัฐมนตรีที่มาเยือน

แต่ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นนายเรียวทาโร ฮาชิโมโต้ Ryutaro Hashimoto อย่างไม่ไว้หน้า เมื่อเครื่องบินโบอิ้ง747 ของนายกฮาชิโมโตร่อนลงที่แตะพื้นสนามบินดอนเมืองในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2539

ก่อนที่เครื่องบินจะเคลื่อนมาถึงบริเวณที่ปูพรมแดงเพื่อให้ผู้โดยสารลง ก็ถูกขวางโดยเครื่องบิน เอฟ-5 ที่นำฝูงโดย ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เอง ช่างภาพที่อยู่บริเวณจุดจอดเครื่องบินถูกบังคับให้วางกล้องถ่ายรูปไว้กับพื้น ในระหว่างที่ฟ้าชายทรงจอดเครื่องบินขวางลำคณะของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเป็นเวลาราวยี่สิบนาทีก่อนที่จะทรงผละจากไป


เข้าใจว่าฟ้าชายทรงต้องการ
แก้แค้นต่อการรับรองของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ทรงกล่าวหาว่าเป็นการหมิ่นเกียรติของพระองค์เมื่อครั้งเสด็จญี่ปุ่นในปี 2530 รัฐบาลไทยและคณะนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นต่างเสียหน้าเป็นอย่างมาก แต่ฝ่ายญี่ปุ่นก็ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลยไปโดยไม่มีการประท้วงหรือออกความเห็นใดๆทั้งสิ้น




ขณะที่มีข่าวภายในทำนองเดียวกัน เมื่อฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสด็จเยือนประเทศยุโรปที่เคร่งศาสนาคริสต์นิกายแคทอลิค (คงเป็นประเทศสเปน)พร้อมหม่อมสุจารณี โดย
ทางการสเปนจัดให้แยกกันนอนคนละห้อง เพราะยังมิได้เป็นพระชายาที่ถูกต้องตามกฎหมาย



ทำให้ฟ้าชายวชิราลงกรณ์พิโรธเป็นอย่างมาก ถึงกับแสดงอาการเสียมารยาท อย่างรุนแรง เช่น ลุกจากที่เสวยพระกระยาหาร และรับสั่งให้ไล่ทูตไทยออกจากราชการทันทีที่พระองค์เสด็จกลับถึงประเทศไทย

และยังมีข่าวเรื่องการที่หม่อมสุจาริณีวิ่งเต้นให้มีการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินที่เชียงใหม่ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดได้โยนเรื่องให้นายจาดุร อภิชาตบุตร รองผู้ว่าราชการไปช่วยจัดการ แต่ทำไม่ได้ จึงมีรับสั่งให้หมายหัวนายจาดุร ไม่ให้ได้มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการอีกต่อไป

นายตำรวจราชองครักษ์ของฟ้าชาย (หรือสำนักงานนายตำรวจราชสำนัก) ก็มีประเพณีที่ห้ามขอย้าย เพราะใครก็ตามที่ขอย้าย พระองค์จะทรงกล่าวหาว่าไม่มีความจงรักภักดี บางคนถึงกับต้องเปลี่ยนชื่อเพื่อมิให้พระองค์จำได้ ซึ่งพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถในการจดจำเรื่องการตามแก้แค้นตามล้างตามผลาญได้เป็นอย่างดี




ในระหว่างนั้น ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ทรงทำหน้าที่ชำระความแค้นให้กับฟ้าหญิงจุฬาภรณ์พระขนิษฐาของพระองค์ ตามข่าวว่าช่วงก่อนหน้างานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จย่าไม่นาน





ฟ้าชายวชิราลงกรณ์รับสั่ง ให้น.อ.วีระยุทธที่กำลังบาดหมางระหองระแหงกับฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ให้มาเข้าเฝ้าที่วังนนทบุรี น.อ.วีระยุทธเผชิญหน้ากับฟ้าชายวชิราลงกรณ์ พร้อมด้วยประธานองคมนตรีพลเอกเปรมกับนายทหารระดับสูงของกองทัพ

มีคนเล่าว่า บนโต๊ะของฟ้าชายวชิราลงกรณ์มีปืนกระบอกหนึ่งวางอยู่ พร้อมกับใบหย่าที่เสนอพร้อมเงินจำนวนเล็กน้อย เป็นรูปการณ์ซ้ำรอยเดิมเหมือนเมื่อคราวที่น.อ.วีระยุทธถูกบังคับให้แต่งงานกับฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เมื่อ 16 ปีก่อนหน้านี้ และเขาก็ต้องยอมแต่โดยดีโดยกลับไปอยู่สหรัฐฯ ตามเดิม


งานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จย่าเป็นเครื่องยืนยันความปั่นป่วนแตกแยกในพระราชวงศ์ เพราะมี
แต่ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์มาร่วมงานโดยมีพระธิดาสองพระองค์ประทับเคียงข้างแต่ไม่ปรากฏตัวของน.อ.วีระยุทธ ขณะที่พระธิดาทั้งคู่ก็ดูจะหงอยเหงาไม่มีชีวิตชีวา

อาจารย์ธงทองซึ่งเป็นผู้บรรยายงานพระราชทานเพลิงพระศพก็ต้องอึ้งไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ทั้งๆที่เขาก็บรรยายรายละเอียดของคนนั้นคนนี้อย่างละเอียดยิบว่ามีประวัติมีความสัมพันธ์ส่วนตัวอย่างไร และเมื่อหม่อมสุจาริณีปรากฏตัวพร้อมลูกๆอาจารย์ธงทองก็จำต้องเงียบกริบพูดอะไรไม่ออก ไม่บอกว่าเป็นใคร มาในฐานะอะไร การไม่บรรยายโดยข้ามไปเฉยๆ ได้เป็นที่สังเกตกันโดยทั่วไป ไม่มีใครรู้ว่าหมายความว่าอย่างไร


26 พฤษภาคม 2539 ข่าวในสำนักพระราชวังแพร่ภาพ
ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสด็จลงจากเครื่องบินที่ดอนเมืองด้วยพระพักต์ที่เคร่งเครียดพร้อมด้วยพระธิดาที่เกิดกับหม่อมสุจาริณีที่ชื่อบุษย์น้ำเพชร (ต่อมาเปลี่ยนเป็นสิริวัณวรี มหิดล) ซึ่งฟ้าชายไม่เคยได้ใส่พระทัยอย่างจริงจังมาก่อน และมีการตีพิมพ์ภาพในหนังสือพิมพ์โดยไม่มีคำอธิบาย

28 มีนาคม ฟ้าชาย วชิรา ลงกรณ์ประกาศไล่สุจาริณีออกจากวังอย่างอึกทึกครึกโครม คนของฟ้าชายปิดป้าย และแจกเอกสารกล่าวหาว่าหม่อมสุจาริณีเป็นชู้กับพล.อ.อ.อนันต์ รอดสำคัญ (เกิด 2486)องครักษ์ของฟ้าชาย

มีการเปิดเผยคำสั่งของนายกบรรหาร ให้ปลดพล.อ.อ.อนันต์ออกจากราชการ มีรูปถ่ายหนังสือเดินทางหรือ พาสปอร์ทของพล.อ.อ.อนันต์ และหม่อมสุจาริณี พร้อมประกาศว่าคนทั้งสองทรยศต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นชู้กันและข่มเหงพระธิดาของฟ้าชาย คือบุษย์น้ำเพชร (สิริวรรณวรีมหิดล)


และ “ ถ้าใครพบบุคคลทั้งสองนี้ในที่ใด ก็ให้ช่วยกันไล่พวกมันไป และประณามความชั่วของพวกมัน ” แถมท้ายด้วยคำเตือนจากฟ้าชายว่าพล.อ.อ.อนันต์จะเจอเรื่องที่หนักกว่านี้ ถ้าขืนต่อสู้ข้อกล่าวหา และควรจะรีบออกจากประเทศไทยไปโดยไม่ต้องกลับมาอีก มีเอกสารเป็นคำสั่งของฟ้าชายต่อกระทรวงการต่างประเทศลงวันที่ 24 พฤษภาคม ให้ยกเลิกหนังสือเดินทางของพล.อ.อ.อนันต์และหม่อมสุจาริณี

โดยมีเอกสารเผยแพร่ไปทั่วกรุงเทพ และภาพเปลือยของหม่อมสุจาริณีเป็นแผ่นดิสเก็ตส่งไปตามสถานทูตและสำนักงานหนังสือพิมพ์ พร้อมทั้งการเผยแพร่ทางอินเตอร์เนต คนทั้งกรุงเทพฯพากันตกตะลึงพูดไม่ออก ในช่วงเตรียมการฉลองพิธีกาญจนาภิเษกครองราชย์ 50 ปีและบรรยากาศทางการเมืองที่เข้มข้นจากการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนายบรรหารที่กำลังตกต่ำไม่เป็นท่า

โดยมีหนังสือพิมพ์เพียงสองฉบับเท่านั้นที่กล้ารายงานเรื่องนี้ คือ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสท์ กับสยามโพสท์ ซึ่งมีสายเชื่อมโยงกับมล.ตรีทศยุทธ เทวกุลกรรมการผู้จัดการบริษัท เทวา สตูดิโอ ซึ่งเป็นคนสนิทในคณะสิบเอ็ดของพลเอกเปรม

ต่อมาจึงค่อยๆมีคำอธิบายออกมาว่า ทางวังเชื่อว่าหม่อมสุจาริณีอยู่ที่ลอนดอนพร้อมลูกๆ และได้ข่มเหงรังแกบุษย์น้ำเพชรลูกสาวคนเล็ก ที่เกิดมาผิดคำทำนาย ที่ว่าหม่อมสุจาริณีจะได้เป็นพระราชินีถ้าหากว่ามีลูกชายห้าคน ประมาณวันที่ 23 พฤษภาคมฟ้าชายได้บินไปอังกฤษและนำพระธิดากลับมา

พร้อมทั้งรับสั่งให้นายกบรรหาร ถอดถอนและประณาม พล.อ.อ.อนันต์ รอดสำคัญ กับหม่อมสุจาริณี มีรายงานว่านายกบรรหารเข้าได้เฝ้าฟ้าชายและในหลวงหลายครั้ง ขณะที่มีข่าวว่าหม่อมสุจาริณีได้เข้าแจ้งความกับตำรวจอังกฤษ ว่าลูกสาวของตนถูกลักพาตัว แต่ทางวังของไทยและวังของอังฤษก็คงร่วมมือกันจัดการให้เรื่องเงียบไป




บางทีอาจเกี่ยวข้องกับการข่มเหงรังแก
บุษย์น้ำเพชร ถึงแม้ว่าฟ้าชายวชิราลงกรณ์จะไม่เคยสนใจธิดาพระองค์นี้มาก่อนเลยก็ตาม






ส่วนเรื่องการคบชู้ ระหว่างหม่อมสุจาริณีกับพล.อ.อ.อนันต์ที่เป็นคนรับใช้และเป็นนักบินร่วมบินของฟ้าชายมาหลายปี เรื่องนี้ได้ดำเนินมาสามปีแล้วเป็นอย่างน้อย โดยได้รับความเห็นชอบจากฟ้าชายเอง เพราะเป็นที่ทราบกันดีในหมู่คนชั้นสูงว่าฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงโปรดปรานการแอบดูพระชายาแสดงบทรักร่วมกับนายทหารของพระองค์โดยทรงติดกล้องวงจรปิดในห้องนอน ไม่ว่าฟ้าชายวชิราลงกรณ์จะทรงประพฤติชั่วช้าเสเพลเพียงใด ประชาชนไทยก็พร้อมที่จะยอมรับว่าหม่อมสุจาริณีกับพล.อ.อ.อนันต์ได้ทรยศต่อฟ้าชาย และหม่อมสุจาริณีได้ข่มเหงเจ้าหญิงตัวน้อย


วังสรุปว่าหม่อมสุจาริณีไม่เหมาะกับการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวงศ์ (ข่าวว่าขบวนของหม่อมสุจารณีถูกจับพร้อมยาเสพติดที่สนามบินอังกฤษ ขณะที่ฟ้าชายมีนางบำเรอคนใหม่ สุจารณีกลุ้มใจหนัก ฟ้าชายและวังจึงต้องสร้างเรื่องเพื่อตัดสุจาริณีออกไปและกันไม่ให้คดีค้ายาเสพติดพัวพันมาถึงพระราชวงศ์ )

ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงผ่านพ้นวิกฤติการณ์ไปได้อย่างสง่าผ่าเผย และเสด็จทำพิธีหล่อพระพุทธรูปทองคำในพระบรมมหาราชวัง เมื่อ 28 พฤษภาคม เสด็จแทนพระเจ้าอยู่หัวเพื่อเป็นประธานในงานพระศพ และสองสัปดาห์ต่อมา เสด็จงานพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกเสวยราชย์ 50 ปี โดยมีพระองค์เจ้าโสมสวลีกับพระธิดาทั้งสองประทับเคียงข้าง





เสด็จร่วมงานวันประสูติโสมสวลี พร้อมกับพระธิดาทั้งสองพระองค์
เมื่อ13 กรกฎาคม และโสมสวลีก็ไปร่วมงานวันพระราชสมภพของฟ้าชายในวันที่ 28 กรกฎาคม เช่นกัน





นี่คงเป็นตอนจบแบบมีความสุขของเทพนิยาย ที่เจ้าชายจอมเสเพลผู้หลงผิดได้กลับคืนสู่อ้อมอกเจ้าหญิงโสมสวลีผู้แสนดี พระชายาผู้อดทนที่เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์เลือดขัตติยะแท้ ผู้เหมาะสมโดยประการทั้งปวง เพื่อหาเรื่องแก้ตัวความเหลวแหลกที่เกิดขึ้น


ทางวังได้ยกเมฆเอาเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์เหนือมนุษย์ของพวกตนขึ้นมากล่าวอ้างโดยยืนยันว่า ฟ้าชายกับหม่อมสุจาริณีไม่ได้มีอะไรกันมากไปกว่าการอยู่ร่วมกันแบบเจ้ากับไพร่ โดยที่ฝ่ายหญิงไม่ได้รับการสถาปนาเป็นพระราชวงศ์ แต่ยังคงเป็นไพร่สามัญชนเหมือนเดิมจึงไม่ได้มีความหมายอะไร แถมยังบอกอีกว่าการอภิเษกสมรสกับโสมสวลียังคงมีผลอยู่ ถือว่ายังไม่ได้หย่าขาดจากกัน

ม.ล.พีระพงษ์ เกษมศรี ราชเลขาธิการอธิบายอย่างไม่อายว่า การที่ฟ้าชายชนะคดีฟ้องหย่าจากโสมสวลีไม่มีผล เพราะถูกจัดการในห้องพิจารณาของศาล แต่ไม่มีพระราชพิธีหย่าในวัง ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นประธานในพระราชพิธี การแต่งงานของฟ้าชายกับหม่อมสุจาริณีก็ไม่เคยกระทำเป็นทางการ เพราะมีแต่พิธีการที่ทำขึ้นในวัง แต่ไม่เคยมีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย เอาเป็นว่าวังใหญ่กว่าศาล คือ วังไม่ยอมรับกฎหมายหรือการจดทะเบียนสมรส โดยถือว่าพระราชพิธีศักดิ์สิทธิ์กว่าใบทะเบียนสมรสตามกฎหมาย

แต่พอถึงสิ้นปี ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ก็กลับมาเป็นเจ้าชายที่เสเพลเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทรงเลิกออกงานกับโสมสวลี และทรงใช้เวลาล่าพรหมจรรย์สาวๆ ที่สรรหามาจากแหล่งต่างๆ พระองค์ยังคงประทับอยู่ที่วังนนทบุรีและวางแผนจะไล่โสมสวลีออกจากวังที่อยู่ในเมือง

ข่าวว่าฟ้าชายทรงอยู่เบื้องหลังการปลดอธิบดีกรมตำรวจพล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา เพราะพล.ต.อ.พจน์ กับภรรยาที่เป็นนางสนองในวังของฟ้าชายถูกกล่าวหาว่าได้ช่วยหม่อมสุจาริณีหนีออกนอกประเทศพร้อมเครื่องเพชรทั้งหมด เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่ารัชทายาทของราชวงศ์ไทยที่กำลังจะได้เป็นรัชกาลที่สิบ ด้วยวัย 44 ชันษานั้น ยังทรงดุร้าย และอยู่นอกเหนือการควบคุม

บางคนคิดว่าพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงสามารถหาเรื่องมาปลอบพระทัยได้ จากความประพฤติอันดีเลิศ ไม่มีด่างพร้อยของพระราชธิดาอีกพระองค์หนึ่งคือ ฟ้าหญิงสิรินธร แต่ฟ้าหญิงสิรินธรก็ทรงทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงผิดหวังอยู่เหมือนกัน แม้ว่าฟ้าหญิงสิรินธรจะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

แต่พระองค์แทบจะไม่มีแววที่จะเป็นผู้กุมอำนาจของวังให้ได้ดี ทรงดูอ่อนต่อโลกและทำพระองค์เป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต เอาแต่เขียนและพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการเสด็จประพาสต่างแดนของพระองค์ ทรงสนพระทัยในประวัติศาสตร์และโบราณคดี ขณะเดียวกันก็ทรงหลบเลี่ยงแรงกดดันอันเกิดจากฟ้าชายผู้เป็นพระเชษฐาและจากวัง ในเรื่องการเป็นคู่ชิงพระราชบัลลังก์ด้วยการเสด็จประพาสต่างประเทศบ่อย ๆ พอพระชนม์ย่าง 40 ชันษาในปี 2538

ฟ้าหญิงสิรินธรทรงแสดงแววของความมีวุฒิภาวะและพระบารมีที่ทรงสามารถสยบผู้คนที่รายรอบพระองค์ได้อย่างง่ายดาย และทรงแสดงความเห็นด้วยความมั่นพระทัยกระทั่งในประเด็นการเมือง


ทรงดูแลพระธิดาของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ คือพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ยังได้ทรงช่วยสร้างภาพให้โสมสวลีอีกด้วย แต่ยังคงเป็นที่อึดอัดขัดใจของในหลวงที่ทรงมอบให้ฟ้าหญิงสิรินธรได้เป็นรัชทายาทสืบราชบัลลังก์


ทรงคาดหวังให้ฟ้าหญิงสิรินธรได้แสดงพระองค์ว่าทรงมีพระปรีชาสามารถเหมือนพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องภูมิศาสตร์ อุทกศาสตร์ การสื่อสารและการเกษตร แต่ฟ้าหญิงเองก็ทรงยอมรับว่าพระองค์ทรงทำให้พระบิดาผิดหวัง


เพราะทรงเจริญพระวรกายอ้วนอุ้ยอ้ายมาก ทำให้ทรงลำบากที่จะลุยโคลน และปีนป่ายภูเขาไปหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล



ทำให้ในหลวงภูมิพลลำบากพระทัยไม่รู้จะเลือกใครดี ระหว่างพระโอรสผู้มีพลังในการทรงใช้อำนาจแต่มีวิจารณญาณที่ชั่วร้ายและไม่สนพระทัยประชาชน กับพระธิดาผู้ทรงใส่พระทัยและมีพระวิจารณญาณที่ดี แต่ไม่มีพลังในการใช้อำนาจ

การโหมโฆษณามหกรรมแห่งการเฉลิมฉลองการครองศิริราชสมบัตินาน 50 ปีหรือกาญจนาภิเษก ทำให้ไม่มีเรื่องอะไรที่สามารถสร้างความกระทบกระเทือนต่อพระบารมีของในหลวง และในวันเฉลิมพระชนมพรรษาในปี 2539 พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราโชวาทที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพระบุญญาบารมีแบบผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน

ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับชีวิตของคนเรา พระราชอาณาจักรของพระองค์ และพระปรีชาสามารถตลอดจนความสำเร็จในรัชกาลของพระองค์ ทรงแสดงหลักปรัชญาความคิดไปเรื่อยเปื่อย



รวมทั้งความงมงายหมกมุ่นเกี่ยวกับตัวเลข วันเวลาของวาระการเฉลิมฉลอง อายุเฉลี่ยของคนที่นั่งฟังพระบรมราโชวาท และอื่นๆ หลังจากนั้นทรงตรัสว่าประชาชนต้องการให้พระองค์ปกครองประเทศไทยต่อไปอีก 50 ปี ทรงทำท่าพิจารณาใคร่ครวญอย่างผู้ที่ตรัสรู้แล้วว่าประเทศได้พัฒนาดีขี้นมากเพียงใดแล้วในรัชสมัยของพระองค์

ทรงย้ำว่า “ จะบอกว่าสมัยโน้นกับสมัยนี้เป็นอย่างไร ต่างกันไหม ต่างกัน จะว่าสมัยโน้นดีกว่าสมัยนี้ ก็พูดไม่ได้ ว่าสมัยนี้ดีกว่าสมัยโน้นก็พูดไม่ได้ อยู่ในปัจจุบันนี้ เรามีสิ่งใด เราก็มีอยู่ในปัจจุบัน ในอดีตเราเคยมีอะไรก็ผ่านไปแล้ว ในอนาคตจะมีอย่างไร ก็จะต้องคอยดูว่าร่วมกันสร้างอย่างไร ถ้ารวมกันสร้างดีก็ดี ถ้ารวมกันสร้างไม่ดี ก็เสียใจ ก็ไม่ดี...

ปัญหามีอยู่ว่า คำว่า ดี คืออะไร ไม่มีทางที่จะวิเคราะห์ศัพท์ว่า “ ดี ” คือคำว่า ดี นี่มันสั้นๆ รู้สึกว่าจะเป็นคำที่สั้นสุดในภาษา อาจจะไม่สั้นที่สุด ยังมีคำที่สั้นกว่า แต่อย่างไรก็สั้นมาก ใครจะมาวิเคราะห์คำนี้ได้รู้สึกว่ายาก เพราะว่าแต่ละคนก็นึกว่าดี แต่ไม่แน่ว่าใช่หรือไม่ใช่ อย่างไรก็ตาม ถ้าพูดคร่าว ๆ ความดี คนก็เข้าใจ แต่จะบอกว่าเป็นอะไร ยาก ความดีคืออะไรที่ทำให้เรามีความสงบความสุขใจแท้ๆ เป็นผลดี

คนที่ไม่ดีเรียกว่าคนเลว คำว่าเลวนี้ก็ยาวกว่าหน่อย คนเลวก็ไม่รู้จะวิเคราะห์ว่าอะไร... คนดีทำให้คนอื่นดีได้ หมายความว่า คนดีทำให้เกิดความดีในสังคม คนอื่นก็ดีไปด้วย ความเลวนั้นจะใช้คนดีเป็นคนเลว ก็ยาก แต่เป็นไปได้ ถ้าคนดีเข้มแข็งในความดี จะให้คนเลวมาทำให้คนดีเป็นคนเลวยาก สำคัญอยู่ที่ความเข้มแข็งของคนดี.

ทรงตรัสต่อไปว่าหากมีธรรมชี้นำ ประเทศชาติจะเจริญก้าวหน้าอย่างที่เป็นมาในช่วง 50 ปีแรกของพระองค์เมื่อทรงตรัสจบและทรงเสด็จออกยังส่วนภายนอกที่มีประชาชนหลายพันรออยู่
พวกเขาพากันยัดธนบัตรใส่พระ
หัตถ์ของพระองค์อย่างกระตือรือล้น ขณะที่เสด็จผ่านไปตามทาง
เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่คนจนที่สุดถวายมอบเงินให้กับพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงร่ำรวยที่สุด ด้วยหวังว่าจะก่อบุญกุศลให้ชะตาชีวิตของตนดีขึ้น

พระบรมราโชวาท
ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า


ทรงขอบคุณประชาชนสำหรับการเฉลิมฉลองที่ใหญ่โตมโหฬาร ทรงตรัสถึงเหตุการณ์สำคัญๆแห่งปี เช่น นักมวยไทยชนะเหรียญทองโอลิมปิก การเสด็จเยือนของพระนางเจ้าเอลิซาเบ็ธ การเยือนประเทศไทยของประธานาธิบดีคลินตัน และไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดระหว่างประเทศสองงาน แสดงถึงความสำเร็จในรัชสมัยของพระองค์

คงต้องให้ความเป็นธรรมต่อฟ้าชายจอมเสเพล เพราะพระองค์คงจะไม่ทรงรู้ผิดชอบชั่วดี เนื่องจากมีแต่คนเอาพระทัยและประจบสอพลอ







พระราชบิดาและพระราชมารดาคงเอาไม่อยู่ หรืออาจเป็นแบบที่ชาวบ้านชอบด่ากันว่า เป็น
ลูกที่พ่อแม่ไม่สั่งสอน คือไม่สอนให้รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก จึงได้ทรงมีพระนิสัยถาวรในการประพฤติปฏิบัติแต่เรื่องเลวๆเสมอมา



แต่ไปๆมาๆ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงสามารถสรุปได้เองเสมอว่า ประเทศไทยนั้นโชคดีหนักหนาที่ได้มีพระมหาราชาอย่างพระองค์ ทำให้มีแต่เรื่องดีๆสิ่งดีๆ นี่ถ้าไม่มีพระราชวงศ์ของพระองค์ ก็คงน่าเป็นห่วง ว่าประเทศชาติคงจะย่ำแย่หรือย่ำเท้ากว่าที่เป็นอยู่ในรัชสมัยที่นานแสนนานของพระองค์ จะว่าทรงตรัสเอาแต่ได้ หรือว่าทรงยกพระหางของพระองค์เองก็คงไม่ผิดมากนัก


.......

ไม่มีความคิดเห็น: